10 สิ่งควรรู้เกี่ยวกับ ดวง จันทร์ วัน นี้

ดวง จันทร์ วัน นี้   เรื่องเกิดจากในวันนึง “เราเลือกที่จะไปดวงจันทร์” ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี (1962) ซึ่งต้องการสร้างความมั่นใจให้กับชาวอเมริกันในช่วงสงครามเย็นที่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่โซเวียตและสหรัฐอเมริกากล่าว พวกเขาต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในอวกาศ จากนั้น 7 ปีต่อมา มนุษย์กลุ่มแรกเริ่มออกเดินทางเพื่อเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดในจักรวาลที่ไปยัง ดาวเคราะห์โลก มองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่าจนกลายเป็นที่มาของตำนาน นิทานพื้นบ้านและความเชื่ออื่น ๆ อีกมากมาย

ทันทีที่ผู้คนบนโลกสามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงได้ พวกเขาก็ปักธงบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ ความหวังของมนุษยชาติในอวกาศเริ่มก่อตัวขึ้นและเทคโนโลยีอวกาศก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในเวลาเพียงครึ่งศตวรรษ ไม่เพียงเท่านั้น การค้นพบน้ำบนดวงจันทร์ยังแสดงถึงความหวังใหม่ในการทำให้ทรัพยากรบนโลกหมดลง ยังย้ำเตือนเราว่ายังมีปริศนาอีกมากมายที่รอให้มนุษย์โลกกลับมาสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง แต่ก่อนที่การเดินทางสู่ดวงจันทร์ครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้น

 

เรื่องน่ารู้ที่จะช่วยให้คุณได้รู้ มากกว่า บน ดวง จันทร์ วัน นี้ ของโลก

 

 

01 มนุษย์เริ่มศึกษาดวงจันทร์ตั้งแต่ก่อนคริสตกาล

ดวง จันทร์ วัน นี้  แม้ว่ามนุษย์จะลงจอดบนดวงจันทร์ในปี 1969 แต่ก็มีหลักฐานชัดเจนว่าชาวกรีกโบราณศึกษาดวงจันทร์ตั้งแต่ 450 ปีก่อนคริสตกาล ทฤษฎีที่เก่าแก่และได้รับการบันทึกไว้ดีที่สุดเกี่ยวกับการกำเนิดของดวงจันทร์คือ ทฤษฎีธรรมชาติและโครงสร้างของจักรวาล โดย ” อริสโตเติล

นักปรัชญากรีกโบราณที่สำคัญ ของดวงจันทร์ ดาวเคราะห์โลก และดวงดาวที่สร้างโดยพระเจ้า จากนั้นก็มีทฤษฎีใหม่ๆ เพื่อยิงดวงจันทร์หลายดวง จนกระทั่งศตวรรษที่ 16 “กาลิเลโอ” นักดาราศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโลก เป็นคนแรกที่ใช้กล้องโทรทรรศน์เพื่อค้นหาความลึกลับนอกโลก และดาวดวงแรกที่เขาเลือกสำรวจคือดวงจันทร์ ซึ่งกาลิเลโอ กาลิเลอีค้นพบว่าพื้นผิวของดวงจันทร์ไม่เรียบและสวยงามเหมือนตาเปล่า แต่พื้นผิวของดวงจันทร์เกลื่อนไปด้วยร่องรอยของหลุมอุกกาบาตและพื้นผิวขรุขระ และข้อมูลเชิงลึกจากการศึกษาดวงจันทร์ของกาลิเลโอก็กลายเป็นแหล่งกำเนิดของดาราศาสตร์สมัยใหม่

02 เพื่อนบ้านที่ใกล้สุดในจักรวาล

ที่ระยะห่างจากโลกประมาณ 385,000 กิโลเมตร ดวงจันทร์เป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดของโลก และช่วยให้มนุษย์มองเห็นรายละเอียดของดวงจันทร์ด้วยตาเปล่าได้ชัดเจนกว่าดาวดวงอื่น หากวางโลก 30 ดวงไว้ใกล้กัน นั่นคือระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับโลกโดยประมาณ หรือถ้าวัดระยะทางจากความเร็วแสงจะพบว่าใช้เวลาเพียง 1.3 วินาทีในการเดินทางจากดวงจันทร์มายังโลก ดังนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ เราใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาในการสังเกตปรากฏการณ์นี้จากพื้นโลก

03 เส้นผ่านศูนย์กลาง

ดวงจันทร์มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3,476 กิโลเมตร หรือประมาณหนึ่งในสี่ของโลก ในบรรดาดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ มีเพียงโลกและดาวพลูโตเท่านั้นที่มีดวงจันทร์ขนาดใหญ่ ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาดของดาวเคราะห์ ดาวพุธและดาวศุกร์ไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร

04 ดวงจันทร์หันเพียงด้านเดียวให้โลก

โลกมีดาวเทียม ดวงจันทร์ ซึ่งโคจรรอบโลกเป็นวงรี และใช้เวลาประมาณ 27.32 วันในการโคจรรอบโลกหนึ่งครั้ง ซึ่งเป็นปริมาณเดียวกับที่ดวงจันทร์โคจรรอบตัวเอง ที่ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียว เป็นด้านที่ดูเหมือนกระต่าย ด้านอื่น ๆ ของดวงจันทร์ไม่สามารถมองเห็นได้จากโลกเลย ยกเว้นส่งยานอวกาศไปสำรวจ เรียกว่าถ้าเราอยู่อีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ และเราจะไม่ได้เห็นดาวบนบกปรากฏบนท้องฟ้า

 

 

 

 

05 พื้นผิวของดวงจันทร์เป็นฝุ่น

ในซีรีย์การลงจอดบนดวงจันทร์เรื่องแรกของเกาหลีใต้ The Silent Sea ผู้ชมจะได้เห็นนักบินอวกาศทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นผิวดวงจันทร์อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ฉากวิ่งบนดวงจันทร์ยังเต็มไปด้วยฝุ่น เป็นฉากที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีรายละเอียดและใส่ใจเป็นอย่างดี มันทำให้เรานึกถึงรอยเท้าของ Neil Armstrong นักบินอวกาศ Apollo 11 คนแรกที่เดินบนดวงจันทร์ รอยเท้าที่ชัดเจนของนีล อาร์มสตรองบนดวงจันทร์ที่เคยจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งว่าภารกิจอะพอลโล 11 เป็นการแสดงบรรยากาศและความชื้นของสหรัฐฯ หรือไม่ แล้วรอยเท้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

มีนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่โต้แย้งว่า แม้ว่าผู้คนจะทราบดีว่าพื้นผิวของเปลือกดวงจันทร์นั้นแข็งมาก แต่พื้นผิวของดวงจันทร์ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองที่ค่อนข้างละเอียดที่เรียกว่าเรโกลิธ ทำให้มนุษย์ซึ่งสวมชุดนักบินอวกาศหนักพอสมควรคลานได้ การเหยียบดวงจันทร์สามารถสร้างและพิมพ์รอยเท้าได้อย่างชัดเจน

เป็นความจริงที่ว่าในอวกาศที่ไม่มีแรงโน้มถ่วง นักบินอวกาศดูเหมือนไร้น้ำหนัก แต่บนดวงจันทร์ ความโน้มถ่วงน้อยกว่าบนโลกประมาณ 6 เท่า ซึ่งหมายความว่ามนุษย์บนดวงจันทร์จะมีน้ำหนักน้อยกว่าบนโลก 6 เท่า (ถ้าบนโลก 60 กก. จะเหลือเพียง 10 กก. บนดวงจันทร์) ดวงจันทร์ดูเหมือนเบาลอยอยู่ แต่นั่นก็หมายความว่ามันยังมีน้ำหนักอยู่ และน้ำหนักของมัน รวมกับพื้นผิวที่เต็มไปด้วยฝุ่น ทิ้งรอยเท้าไว้บนดวงจันทร์ ที่น่าสนใจคือรอยเท้ามนุษย์บนดวงจันทร์จะประทับอยู่นานนับล้านปีโดยไม่มีมนุษย์รุ่นต่อไป มันโบยบินกระทืบรอยเท้าเก่า ๆ สาเหตุก็เพราะไม่มีลมบนดวงจันทร์มาทำให้รอยเท้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจันทร์

06 ไม่มีอากาศและบรรยากาศบนดวงจันทร์

โดยที่ดวงจันทร์มีแรงโน้มถ่วงต่ำไม่เหมือนกับโลก ซึ่งหมายความว่าไม่มีแม้แต่อากาศก็สามารถอยู่บนดวงจันทร์ได้เพราะโมเลกุลของอากาศทั้งหมดจะลอยออกไป แม้แต่นักบินอวกาศก็ยังพบก๊าซเฉื่อยบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่บางมากแทบจะเหมือนเครื่องดูดฝุ่น และคิดว่าก๊าซเหล่านี้มาจากอนุภาคที่ถูกลมสุริยะพัดออกจากชั้นบรรยากาศสุริยะ หรือจากการสลายตัวของกัมมันตภาพรังสีบนดวงจันทร์นั่นเอง แต่ก๊าซเหล่านี้จะอยู่ได้ไม่นานบนดวงจันทร์และในที่สุดก็จะหลบหนี

เมื่อดวงจันทร์ไม่มีอากาศเป็นสื่อกลางจึงไม่มีเสียงบนดวงจันทร์วิธีเดียวที่จะรับรู้เสียงคือจากการสั่นสะเทือนบนพื้นผิวดวงจันทร์ และไม่มีอากาศถ่ายเทท้องฟ้าบนดวงจันทร์ดูมืดครึ้ม แสงดาวสามารถมองเห็นได้ทั้งวันทั้งคืน และไม่มีแสงสีฟ้าบนท้องฟ้าเหมือนที่เราเห็นบนโลก รวมถึงไม่มีแสงสลัวในตอนเช้าหรือตอนกลางคืนเหมือนบนโลก ส่วนของดวงจันทร์ที่โดนแสงแดดจึงสว่าง และส่วนที่ไม่ติดไฟก็จะมืดลงอย่างมาก ช่วยให้มนุษย์มองเห็นหลุมอุกกาบาตและภูเขาของดวงจันทร์ได้ชัดเจนมาก ยังทำให้สูญเสียการมองเห็นในระยะใกล้และไกล เรียกว่าเมื่ออยู่บนดวงจันทร์ ภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายไมล์จะดูคมราวกับอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ฟุต

หากมองผ่านกล้องโทรทรรศน์จะเห็นได้ชัดว่าดวงจันทร์ไม่มี ชั้นบรรยากาศ ส่งผลโดยตรงต่ออุณหภูมิในระหว่างวัน ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างส่วนของพื้นผิวที่สัมผัสกับแสงแดดกับส่วนที่ไม่ถูกแสงแดดจะมีความแตกต่างของอุณหภูมิที่รุนแรง อุณหภูมิเที่ยงวันของดวงจันทร์ถึงจุดเดือดประมาณ 127 องศาเซลเซียส ในเวลากลางคืน พื้นผิวโลกจะเย็นลงอย่างรวดเร็วในอวกาศ เนื่องจากไม่มีอากาศที่จะดูดซับความร้อน ทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -173 องศาเซลเซียส และที่สำคัญกว่านั้นการไม่มีชั้นบรรยากาศก็หมายความว่าไม่มีอะไรป้องกันคลื่นแสงที่เป็นอันตรายอย่างรังสีเอกซ์หรือรังสีอัลตราไวโอเลตที่มาจาก ดวงอาทิตย์ ได้ รวมทั้งไม่สามารถ ป้องกันไม่ให้อุกกาบาตตกสู่พื้นผิวดวงจันทร์เช่นกัน

07 ทะเลแห่งดวงจันทร์

แม้ดวงจันทร์ไม่มีแม่น้ำหรือทะเลปรากฏ แต่เรากลับได้ยินการตั้งชื่อพื้นที่ราบขนาดใหญ่ รวมทั้งหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์เป็นชื่อเกี่ยวกับทะเล ทะเลสาบ และอ่าว  โดยพื้นราบส่วนที่เป็นสีดำคล้ำนั้นกาลิเลโอตั้งชื่อให้ว่า Maria แปลว่า “ทะเล” (คำเอกพจน์คือ Mare) ซึ่งในความจริงแล้วที่ราบบนดวงจันทร์คือพื้นที่ของหินหลอมละลายจนเป็นลาวาไหลท่วมพื้นผิวเมื่อราว 4,000 ล้านปีก่อน

พื้นราบสีดำคล้ำมักปรากฏอยู่บริเวณซีกด้านเหนือของดวงจันทร์ฝั่งที่หันเข้าหาโลก สำหรับชื่อที่ราบที่เกี่ยวกับทะเล อาทิ ที่ราบขนาดใหญ่ Mare Serenitatis มีความหมายถึง ทะเลแห่งความราบรื่น นอกจากนี้ยังมีชื่อ Lacus Somniorum หมายถึง ทะเลสาบแห่งความฝัน ถัดขึ้นไปบริเวณที่ราบทางตอนเหนือซึ่งเป็นร่องรอยของหลุมอุกกาบาตเก่าแก่มีชื่อว่า Sinus Amoris แปลว่า อ่าวแห่งความรัก ด้านที่ราบตรงบริเวณเส้นศูนย์สูตรของดวงจันทร์ทางทิศตะวันออกมีชื่อว่า Mare Fecunditatis แปลว่า ทะเลแห่งความสมบูรณ์  ส่วนบริเวณที่ยานอะพลอลโล 11 ลงจอดมีชื่อว่า Sea of Tranquility หรือ ทะเลแห่งความเงียบสงบ เป็นที่ราบที่เกิดจากลาวาไหลท่วมผิวดวงจันทร์เมื่อนานมาแล้วเช่นกัน

 

 

 

08 กระต่ายบนดวงจันทร์

ภาพกระต่ายบนดวงจันทร์ตามจินตนาการของชาวดาวโลกนั้นแท้จริงคือบริเวณที่ราบที่มีสีคล้ำ ซึ่งจากการสำรวจมีที่ราบลักษณะเช่นนี้อยู่บนดวงจันทร์ถึง 22 แห่ง โดยส่วนหัวกระต่ายเป็นทิศตะวันตกของดวงจันทร์ หางกระต่ายอยู่ทางทิศตะวันออก และหลังกระต่ายอยู่ทางทิศเหนือ บางคนจินตนาการว่าที่ราบเหล่านี้มีรูปคล้ายหน้าคนซึ่งจะอยู่บริเวณท้องและขาหลังของกระต่าย โดยจะเห็นได้ชัดในช่วงพระจันทร์เต็มดวงและก่อนเต็มดวง

09 ก้าวแรกของมนุษย์บนดวงจันทร์

20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่อพอลโล 11 เหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ทำให้นีล อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์ พร้อมกับวลีคลาสสิก “ก้าวเล็ก ๆ หนึ่งก้าวของมนุษย์ หนึ่งก้าวที่ยิ่งใหญ่เพื่อมนุษยชาติ” (นั่นคือก้าวเล็ก ๆ สำหรับผู้ชาย ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ) ในยานอพอลโล 11 ในขณะนั้น ดวงจันทร์ยังคงเป็นดาวดวงเดียวในอวกาศ ที่มนุษย์สามารถเดินทางได้ และวันนี้ (พ.ศ. 2511-2515) มีมนุษย์ทั้งหมด 12 คนเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เดินบนดวงจันทร์ และหากรวมนักบินอวกาศทุกคนที่เดินทางจากโลกไปยังดวงจันทร์แล้ว จะมีจำนวน 24 คนนับหลังจากความสำเร็จในการส่งมนุษย์ไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น เทคโนโลยีอวกาศก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด พร้อมเปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางที่ท้าทายยิ่งขึ้นคือการสำรวจ “ดาวอังคาร”

10 การค้นพบน้ำบนดวงจันทร์

ดวง จันทร์ วัน นี้  หลายครั้งที่ ดาวเคราะห์โลก ได้พยายามค้นหาและพิสูจน์การมีอยู่ของแหล่งน้ำบนดวงจันทร์ ในอดีต มีการสังเกตว่าโมเลกุลของน้ำถูกพบในหลุมอุกกาบาตในส่วนที่ไม่โดนแสงแดด ด้วยอุณหภูมิที่ต่ำถึง -173 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับด้านสว่างของดวงจันทร์ที่มีอุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 127 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ไม่คาดว่าน้ำจะเหลือด้านสว่างของดวงจันทร์ซึ่งสูงถึง 127 องศาเซลเซียส องศาเซลเซียสในแสงแดด ยังไม่มีหลักฐานว่าสามารถพบน้ำนอกหลุมอุกกาบาตมืดเหล่านั้นได้ จนถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2020 นาซ่าประกาศการค้นพบน้ำด้านสว่างของดวงจันทร์ กล้องโทรทรรศน์ฟาร์อินฟราเรดที่ SOFIA หรือหอดูดาว Stratospheric สำหรับดาราศาสตร์อินฟราเรด หอดูดาวลอยน้ำที่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ในโลก

SOFIA ได้ค้นพบสเปกตรัมการดูดซึมที่เป็นลักษณะเฉพาะของโมเลกุลน้ำใน Crater Crater ซึ่งเป็นหนึ่งในหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่ที่สุดที่มองเห็นได้จากโลก และในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงมีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถพบน้ำได้แม้ด้านสว่างของดวงจันทร์ที่มีแสงแดดส่องถึง นอกจากนี้ การค้นพบนี้ยังยืนยันว่ามีน้ำบนดวงจันทร์ 100 ถึง 412 ppm หรือเทียบเท่ากับน้ำหนึ่งขวดสำหรับดินบนดวงจันทร์ทุกลูกบาศก์เมตร การค้นพบนี้ท้าทายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับต้นกำเนิดของน้ำบนวัตถุดวงจันทร์ ระบบสุริยะ ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งคือดาวตกที่อุ้มน้ำได้ชนดวงจันทร์ แต่ความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งคือ เกิดจากการหลอมรวมระหว่างหมู่ไฮดรอกซิล กับหมู่ไฮดรอกซิลอื่นหรือจากไฮโดรเจนที่มาจากดวงอาทิตย์ ก่อตัวเป็นน้ำอย่างต่อเนื่องบนพื้นผิวดวงจันทร์

คำถามที่น่าสนใจต่อไปคือ น้ำที่ผลิตได้สะสมในปริมาณดังกล่าวได้อย่างไร เป็นไปได้ว่าโมเลกุลของน้ำเข้าไปยุ่งกับเมล็ดพืชของดินบนดวงจันทร์ และได้รับการปกป้องจากแสงแดด การค้นพบน้ำบนดวงจันทร์ครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับโครงการที่มนุษย์ลงจอดบนดวงจันทร์ในอนาคต เช่น โครงการ Artemis ของ NASA ซึ่งมีแผนจะส่งมนุษย์กลับสู่ดวงจันทร์อีกครั้ง น้ำบนดวงจันทร์อาจกลายเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าสำหรับการเติมเชื้อเพลิงให้กับยานอวกาศในอนาคต หรือวันที่น้ำหมดโลกเหมือนในหนังไซไฟ ดวงจันทร์ที่ค้นพบเพียงโมเลกุลของน้ำอาจเป็นความหวังเดียว

 

บทความแนะนำ